6. NikeLab GYAKUSOU LunarEpic LOW Flyknit – 2 Photo from Official Site
- ถือว่าเป็นรุ่นที่ต้องมาซื้อที่ญี่ปุ่นเท่านั้น เพราะรุ่นนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Nike และ Jun Takahashi นักออกแบบที่ Undercover ของแบรนด์ street แฟชั่นชั้นนำญี่ปุ่น เป็นรองเท้าที่มีความฮิป ไม่ได้มีดีแค่สวยแต่ยังใส่สบายมากๆจากการมีช่องระบายอากาศในบริเวณเท้าข้างหน้าทำให้ช่วยระบายอากาศได้ดี ด้านพื้นได้มีการออกแบบมาให้รับแรงกระแทกที่ยอดเยี่ยม
- ราคาประมาณ : 20,000 เยน
Contents
ไปญี่ปุ่น ใส่รองเท้าอะไร
6. รองเท้าผ้าใบ – Photo from https://pixnio.com/objects/shoes-and-clothing/footwear-sneaker-shoelace-red-foot-sock นักท่องเที่ยวหลายคนจะชอบหารองเท้าสวยๆ ดูดี ส้นสูง เวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อการถ่ายรูป แต่นั่นคือความคิดที่ไม่ถูกต้อง ถ้า destination ของคุณครั้งนี้คือประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่หนทางนั้นเป็นภูเขาขึ้นๆลงๆอยู่เสมอ คุณอาจจะใส่รองเท้าส้นสูงเดินสวยๆได้ แต่ก็ไม่นานคุณจะสละรองเท้านั้นและหารองเท้าผ้าใบใส่สบายๆทั้งที แม้แต่เมืองหลวง Tokyo ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นพื้นที่ราบ ไม่ว่าคุณจะไปไหนก็จะมีการเดินขึ้นเนิน ลงเนิน ขึ้นบันได ลงบันได อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณห่วงสวย แน่นอนเท้าคุณจะเจ็บ แล้วเดินต่อไม่ได้ ผมขอแนะนำให้เลือกรองเท้ากีฬาที่มีตัวซัพพอร์ตใต้เท้า ให้เหมาะแก่การเดินเยอะๆ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นรองเท้าวิ่งก็ได้ แต่เป็นรองเท้าหุ้มข้อ หุ้มส้นที่ดี สามารถให้เราเดินได้สบายเป็นระยะเวลานาน รู้สึกไม่เจ็บเท้าครับ
ซื้อรองเท้าที่ญี่ปุ่นถูกกว่าไทยไหม
ของที่น่าใช้ในญี่ปุ่น ทำไมคนไทยถึงชอบซื้อ รองเท้าผ้าใบที่ญี่ปุ่น กลับมากัน ? – คงปฎิเสธกัน ไม่ได้เลยว่า ถ้าใครที่ไป ญี่ปุ่นแล้ว จะต้องซื้อรองเท้า กลับมากันอย่างแน่นอน เพราะด้วยราคา ที่มีความถูก กว่าที่ไทย หลายบาทแล้วแถม รองเท้าแบรนด์ดังๆ ก็ยังออกแบบรองเท้า ที่มีขายเฉพาะ ในญี่ปุ่นเท่านั้น จึงทำให้เป็น ที่สนใจอย่างมาก สำหรับคนที่เดินไป เที่ยวญึ่ปุ่น จะต้องหิ้วกลับมา ให้ได้ซักคู่ และคนญี่ปุ่น ก็ยังชอบใส่ รองเท้าSneaker กันแบบสุดๆ ร้านรองเท้าในญี่ปุ่น จึงมีหลายร้าน ให้เราได้ไปเลือกซื้อกัน ไม่ว่าจะเป็น Adidas Nike Puma หรือแบรนด์สุดนิยม ที่คนไทยฮิต กันมากอย่าง Onisuka ซึ่งในแต่ละแบรด์นั้น ก็มีความสวยงาม ที่แตกต่างกันออกไป และราคาก็ต่างกัน ซึ่งร้านยอดฮิต ที่คนชอบซื้อกัน นั่นก็คือ ABC Mart เพราะที่นี่นั่น จะมีโปรโมชั่น ลดราคารองเท้า แทบจะทุกแบรนด์ อยู่เป็นประจำ นักท่องเที่ยว ส่วนมากจึงชอบ มาที่ร้านนี้กัน และนอกจากนี้ ก็ยังมีพวกร้านOutlet ที่จะนำรองเท้า ที่ตกรุ่นไปไม่นานมาก มาลดราคาขาย แบบว่าลดกระหน่ำ ซัมเมอร์เซลกัน เลยทีเดียว เพราะถ้าคุณเป็น คนต่างชาติ คุณก็จะได้ลด ราคาVat ลงไปอีก เรียกได้ว่า คุ้มสุดคุ้มเลยจริงๆ
แต่งตัว ยัง ไง ให้ ผ่าน ต ม ญี่ปุ่น
9 เทคนิคง่ายๆ ทำยังไงไม่ให้ติดตม.ญี่ปุ่น และผ่านตม.ไปเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจ Photo: Vincent_AF from flickr.com/photos/archetypefotografie/5101247255 หลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวไทยสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นได้เลยโดยไม่ต้องขอวีซ่าเป็นเวลา 15 วัน ก็มีนักท่องเที่ยวไทยเป็นจำนวนมากนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น แต่ก็มีคนไทยส่วนน้อยส่วนหนึ่งที่อาศัยช่องว่างนี้ ทำเรื่องผิดกฏหมาย จนออกข่าวเรื่อยมา ไม่ว่าจะแอบเข้าไปทำงาน ขนยาเสพติด และอื่นๆ จนล่าสุดเริ่มมีนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้นที่ถูกกักตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วมาโพสแสดงความคิดเห็นทางโซเชียลต่างๆ จนนักท่องเที่ยวหลายๆคนเริ่มเป็นกังวลกันไปต่างๆนาๆว่าจะโดนกักตัวบ้างมั้ย หรือควรทำตัวอย่างไรจึงจะผ่านได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่กำลังจะไปประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก คงจะกังวลกันมากเป็นพิเศษเลย เอาล่ะเกริ่นนำกันมาเยอะแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า แล้วเราจะทำยังไงล่ะ ถึงจะไม่ให้ติดตม.ญี่ปุ่น จริงๆแล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุด ในการจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่ว่าจะประเทศไหนๆก็แล้วแต่ คือ การที่ “เจ้าหน้าที่ตม.
เค้าเชื่อใจเรามั้ย” แค่นั้นเอง เพราะอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายจะอยู่ที่”เจ้าหน้าที่คนนั้น”แต่เพียงผู้เดียว จึงสรุปใจความสำคัญของการผ่านด่านตม.ได้ง่ายๆ คืออยู่ที่ การทำยังไงก็ได้ให้คนที่ไม่รู้จักเราเลย “เค้าเชื่อเรา” คือเชื่อว่าเราเป็นแค่นักท่องเที่ยวที่จะแค่มาเที่ยวชมประเทศเค้าจริงๆ ก็เท่านี้เองไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านี้เลยจริงๆนะ ก่อนจะเข้าเรื่อง จะขอบรรยาสภาพโดยทั่วไปของด่านตรวจคนเข้าเมืองให้ฟังกันก่อน สำหรับใครที่ยังไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศจะได้พอเห็นภาพว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ซึ่งประเทศไหนๆก็จะคล้ายๆกันหมด เราทั้งไทย และญี่ปุ่นด้วย ใครไปมาหลายประเทศแล้วก็ข้ามย่อหน้านี้ไปได้เลย โดยทั่วๆไป ที่บริเวณตรวจคนเข้าเมือง ทุกคนที่จะเข้าประเทศจะต้องไปยืนต่อคิวเข้าตามช่องต่างๆ ซึ่งมักจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ สำหรับคนญี่ปุ่น และสำหรับชาวต่างชาติ ผู้โดยสารจากทุกสายการบินทุกประเทศจะมารวมกันตรงนี้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ในตู้ หยิบพาสปอตเราไปเช็คในระบบ, แสกนลายนิ้วมือ นิ้วชี้ทั้ง 2 ข้าง, มองกล้องถ่ายรูป, แล้วอาจจะมีสอบถามเรื่อยเปื่อยเล็กน้อย แล้วก็ปั้มผ่าน Welcome to Japan เป็นอันจบ ซึ่งในวันๆหนึ่ง มีคนผ่าน ตม.
เป็นหลักแสนหลักล้านคน กระบวนการส่วนใหญ่จึงจะผ่านไปแบบรวดเร็ว ต่อให้เป็นคนไทยก็ตาม ส่วนใหญ่จะยังปล่อยผ่านไปเร็วๆเหมือนกัน จะมีเพียงบางส่วนที่น้อยมากๆ ที่เจ้าหน้าที่ “มีความรู้สึกว่า น่าสงสัย” ก็อาจจะสอบถามเพิ่มเติม ขอดูเอกสาร จนถึงเรียกเข้าห้องเย็นไปสอบถามเพิ่มก็ได้ ทีนี้หลายคนคงจะมีคำถามแล้วว่า แล้วจะทำยังไงให้เค้าเชื่อเราล่ะ? ว่าเราจะมาเที่ยวจริงๆ? ในบทความนี้เราเลยรวบรวมคำแนะนำต่างๆที่หลายๆคนแนะนำว่า ควรทำ ใช้แล้วได้ผล ผ่าน ตม.ญี่ปุ่นกันฉลุย รวมทั้งเรื่องที่ ไม่ควรทำ จากประสบการณ์คนไทยที่ติดตม.จะได้ไม่ไปเผลอทำกันซะด้วย Photo by っ from commons.wikimedia.org/wiki/File:Immigration_of_Narita_Turminal_2_200507.jpg
- เล่ากันมามากแล้ว เรามาเข้าเรื่องกันจริงๆกันซะทีดีกว่า กับ 9 คำแนะนำที่ควรปฏิบัติเพื่อให้ผ่าน ตม. ญี่ปุ่นได้ง่ายๆ
- 1. ทำอารมณ์ให้สดชื่น
- คือ เรากำลังจะไปเที่ยวประเทศที่เราวางแผน รอคอยกันมานาน เรามาถึงแล้ว เราก็ควรจะทำหน้าตา อารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสเข้าไว้ ไม่ต้องไปกังวลอะไรมากมาย ทำให้ดูชิวๆเข้าไว้ ก็ธรรมชาติของนักท่องเที่ยวนั่นแหล่ะ
- 2. ดวงตา เป็นหน้าต่างของหัวใจ
- ตอนยื่นพาสปอตไปให้เจ้าหน้าที่ ตม. ก็มองเค้าไปเลย แบบปกติ อย่าไปหลบตา หรือทำท่าส่อพิรุธ พูดเซย์ Hello ออกไปด้วยก็ได้ ทำตัวเป็นมิตร มองตา ยิ้ม แบบธรรมชาติน่ะ น่าจะนึกกันออก ถ้าเค้าถามอะไรมา ก็ให้ตอบเค้าไปแบบธรรมดา ตามธรรมชาติ แบบคนคุยกัน
- 3. พูดจาฉะฉาน มั่นใจ ไม่ตื่นเต้นจนเกินเหตุ
- เวลาคุยกับเจ้าหน้าที่ เค้าถามอะไรมาก็ตอบเค้าแบบธรรมชาติ ฝึกภาษาอังกฤษไปบ้าง นิดๆหน่อยๆ มีไม่กี่อย่างหรอกที่เค้าจะถาม เช่น มาทำอะไร, ไปที่ไหนบ้าง, พักที่ไหน, มากี่วัน, มากับใคร อะไรประมาณนี้ ถ้าฟังไม่เข้าใจก็ถามเค้ากลับไปได้เลย เหมือนคนคุยกันน่ะ ยิ่งถ้าเราไปตรงกับงานเทศกาลหรืออะไรที่มันเฉพาะเจาะจงก็ให้บอกได้เลย
- 4. การแต่งตัว
- ข้อนี้ไม่ใช่ว่าจะให้ใส่สูท ผูกไท หรืออะไร แต่ให้แต่งตัวให้เหมาะสมกับช่วงเวลา หน้าหนาวก็ควรมีเสื้อหนาว แต่งตัวให้เหมือนกับการไปเที่ยวหน่อย, สะพายกล้อง, แว่นกันแดด, รองเท้าผ้าใบ อะไรอย่างงี้ ไม่ใช่แต่งตัวแบบจะมาใช้แรงงาน อันนี้คงไม่ต้องขยายความกันต่อนะ
- 5. ใบขาเข้า
- ในแบบฟอร์มขาเข้าในกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนเรียบร้อย กรอกให้ละเอียดตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด ตรงนี้ไม่มีอะไรยาก กรอกให้เสร็จตั้งแต่บนเครื่องบินได้เลยยิ่งดี จะได้ไม่รน
- 6. ถ้าไปกันเป็นครอบครัว ยื่นพาสปอตไปพร้อมกันเลยก็ได้
- ถ้ามากันทั้งครอบครัวหลายคน เค้าแทบจะปล่อยผ่านกันแบบ 100% เลยล่ะ เพราะงั้นถ้าไปกัน พ่อแม่ลูก ก็ยื่นรวมกันไปเลย แต่ควรจะนามสกุลเดียวกันด้วยนะ ชิวแน่นอน
- 7. เตรียมเอกสาร หลักฐานให้ครบถ้วน
- โดยทั่วไป 90% น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ดูหน้า ดูพาสปอต แล้วปั้ม บางคนอาจจะมีถามไปงั้นๆบ้าง นิดๆหน่อยๆพอเป็นพิธี แต่ถ้ามีอะไรที่เราตอบผิดจากที่เค้าคาดหวังไว้ หรือเค้าสงสัยเรามากขึ้น ให้สังเกตได้ว่า เค้าจะถามคำถามเราซ้ำแบบเดิมที่เราตอบไปแล้ว แปลว่าเค้าไม่เชื่อคำตอบอันนั้นของเราแล้ว ถึงตรงนี้ให้หยิบเอกสารที่เราเตรียมเอาไว้แล้ว ออกมาให้เค้าดูได้เลย คำถามไหนที่เค้าถาม ก็หยิบอันนั้นให้เค้าดู ถามเรื่องที่พัก ก็เอาใบจองโรงแรมให้เค้าดู ถามเรื่องมากี่วัน ก็เอาใบจองเครื่องบินขากลับให้เค้าดู ถามเรื่องแผนการเที่ยว ก็เอาแผนการเที่ยวให้เค้าดู เพราะฉะนั้นหลักฐานเอกสารพวกนี้จึงควรพกติดตัวไปด้วยทุกคน รวมถึงควรจะทราบแผนการเที่ยวคร่าวๆไว้บ้าง แบบมากี่วัน พักที่ไหน โรงแรมชื่ออะไร เที่ยวไหนบ้างอะไรงี้
- ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ต้องกลัวอะไร ยังเป็นเรื่องปกติอยู่ที่เค้าดูเอกสารเรา จริงๆอาจจะไม่ดูด้วย แค่อยากรู้ว่าเรามีเอกสารมาโชว์จริงหรือป่าวด้วยซ้ำ
- 8. ถ้าไปกับเพื่อน เตรียมคำตอบกันไว้ให้ดี
- ถ้าไปกับเพื่อน ไม่ว่าจะเพื่อนที่เรียน เพื่อนแถวบ้าน เพื่อนที่ทำงาน หรือเพื่อนอะไรก็แล้วแต่ แล้วโดนพร้อมกัน เค้าก็จะมีคำถามเพิ่มเติมประมาณว่า เป็นอะไรกัน รู้จักกันยังไง รู้จักกันดีแค่ไหน รู้จักกันมานานแค่ไหน เพื่อนเราทำงานอะไร ที่อยู่ของเพื่อนเรา ถ้าเราตอบตรงกันก็ชิว แต่ถ้าตอบไม่ตรงกันโอกาส ติดตม. จะสูงมาก ทางที่ดีโดนคนเดียวน่าจะดีกว่า นอกเสียจากว่าจะให้เพื่อนที่ภาษาดีหน่อย รู้รายละเอียดของทริปดี พาสปอตไปมาหลายประเทศแล้ว เข้าไปก่อนเลย พอผ่านแล้วให้เค้าบอกด้วยว่ามากันกี่คนให้ชี้กลับมาเลยว่ามาพร้อมกับ คนนู้น คนนั้น จะช่วยให้ง่ายขึ้นได้
- 9. ถ้าไปคนเดียว หรือโดนเรียกตรวจคนเดียว
- ในกรณีที่โดนเรียกเข้าห้องเย็นจริงๆแล้ว ก็ยังมีโอกาสรอดกลับออกไปเที่ยวได้อยู่มากนะ ถ้าเราทำให้”เค้าเปลี่ยนใจมาเชื่อเรา”ได้ ตรงนี้เอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเราจะช่วยได้ดี เช่น หลักฐานการทำงาน ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ก็ต้องมีหลักฐานการทำงานทั้งนั้น ไม่ว่าจะพนักงานกินเงินเดือน Freelance เจ้าของธุรกิจ เช่น บัตรพนักงาน, ใบรับรองการทำงานจากบริษัท, ถ้าเป็น Freelance ก็เช่นผลงานของเรา หลักฐานรายได้ของเรา หรือ ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาก็ สถานะทางการเรียน ใบรับรองการศึกษา ถึงแม้คนส่วนมากจะมาไม่ถึงขั้นนี้ และโอกาสโดนส่งกลับน่าจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างจะมากแล้ว เค้าก็ยังให้โอกาสเราอธิบายหรือแสดงความจริงต่างๆออกมาอยู่ดี เพราะฉะนั้นในช่วงนี้ถ้าเรามีอะไร งัดออกมาให้หมดเลยอะไรก็ได้ที่จะทำให้ เค้าเชื่อ ว่าเรามาเที่ยวจริง เพราะนี่อาจจะเป็นโค้งสุดท้ายของเราแล้วก็ได้นะ
ครบแล้วกับ 9 คำแนะนำสำหรับตะลุยผ่านตม.ญี่ปุ่น ของเรา ซึ่งเชื่อว่าถ้าทำได้ตามคำแนะนำข้างต้นทั้งหมดจะทำให้ผ่าน ตม.ญี่ปุ่นหรือตม.ที่ไหนก็แล้วแต่ได้มากกว่า 99% เลย แต่อย่างไรก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง เพราะอย่างที่บอกไว้ตอนต้นของบทความว่า ทั้งหลายทั้งมวลของการจะผ่านหรือจะติดตม.
- อย่างไรก็ตาม แม้จะฟังดูเหมือนแย่ แต่โอกาสเกิดขึ้นนั้นน้อยมากกกกก ก.ไก่ล้านตัว อย่างกับถูกลอตเตอรี่กันเลยทีเดียว และถ้าใครที่โดนกักตัวส่งกลับจริงๆ ก็ให้ทำใจดีๆไว้ อย่าไปเครียดมาก คิดซะว่า “ซวย” ก็แล้วกัน หรือมองโลกในแง่ดี เราเป็นหนึ่งในพันหรือในหมื่นเลยนะ กลับมาไทยอาจจะถูกลอตเตอรี่จริงๆก็ได้ (อันนี้พูดเล่น)
- ยังไงก็ขอให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ ผ่านตม.ญี่ปุ่นกันได้แบบสบายๆ 2 นาทีเสร็จก็แล้วกันนะ
- บทส่งท้าย เผื่อใครจะอยากรู้ว่าถ้าจะโดนส่งกลับแล้วมันเป็นยังไง มันก็จะไม่ค่อยน่าอภิรมณ์นัก สภาพในตอนส่งกลับก็จะให้ไปรวมกันในห้องโถงใหญ่ๆ หรือห้องแยกแล้วแต่สนามบิน โดยในห้องส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย รอให้มีเครืองบินที่มีที่นั่งว่าง เค้าก็จะใส่เราเข้าไป เราเป็นคนออกค่าเครื่องบินขากลับเพิ่มเอง ระหว่างที่รอเค้าก็จะไปเอากระเป๋าเรามาให้ และระหว่างรอก็มีของกินนิดๆหน่อยๆให้ ระหว่างวันทั้ง 3 มื้อ
: 9 เทคนิคง่ายๆ ทำยังไงไม่ให้ติดตม.ญี่ปุ่น และผ่านตม.ไปเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจ
เที่ยวญี่ปุ่นแต่งตัวแบบไหนดี
การแต่งตัวท่องเที่ยว –
เดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงที่อากาศหนาวที่สุดในรอบปี ควรสวมใส่เสื้อผ้ารักษาอุณหภูมิ สเวตเตอร์ เสื้อโค้ทหนาหรือขนสัตว์เสริมความอบอุ่นด้วยผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้ายาวเนื้อหนา และหมวก ในเขตที่ลมแรงควรมีที่ปิดหู ส่วนโซนที่มีหิมะควรเตรียมรองเท้าสำหรับเดินในหิมะและร่มสำหรับป้องกันหิมะที่ตกระหว่างวันควรใส่ผ้าปิดปากเพื่อรักษาความชื้น ประกอบกับทาครีมชนิดชุ่มชื้นเพื่อป้องกันผิวแห้ง
ญี่ปุ่นลดราคาเดือนไหน
ช่วงพีคของงาน Summer Sale ในญี่ปุ่นคือจาก ปลายเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคม ร้านค้า outlet ต่าง ๆ อาจจะจัดงานเซลล์ประจำกันคนละช่วงเวลา แต่โดยรวมคืออยู่ระหว่างปลายเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนสิงหาคม สินค้าจะมีหลากหลายตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงเครืองใช้ไฟฟ้า งาน Summer Sale จัดขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้าชาวญี่ปุ่นให้มาช้อปปิ้ง ซื้อ
แต่งตัวยังไงให้ผ่านตม
ช่วงนี้มีข่าวคนไทยติด ตม.เกาหลีใต้ออกมาให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ หลายคนที่กำลังจะไปเที่ยวเกาหลีใต้ก็อาจกำลังกังวลคิดว่าจะไปดีไหม? จะผ่าน ตม.เกาหลีหรือเปล่า? เราขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่ต้องกังวล แค่เตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อมแล้วมาเรียนรู้ 5 เทคนิคการวางตัวให้ผ่าน ตม.เกาหลีที่เราเอามาฝากกัน เป็นที่รู้กันว่านอกจากเหล่าเอกสารต่างๆ เช่น ตั๋วเครื่องบินขากลับ หลักฐานการทำงาน หลักฐานการเงิน แผนการเดินทางที่จะต้องเตรียมไปเผื่อทาง ตม.ขอดูเป็นหลักฐานแล้ว การวางตัวก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยให้เราผ่าน ตม.กันได้แบบง่ายๆ บางทีอาจจะไม่ต้องโชว์เอกสารที่เตรียมไปเลยก็ได้ด้วยซ้ำ ไปดูกันเลยว่า 5 เทคนิคไม่ยากของเรามีอะไรบ้าง 1. การแต่งกายเป็นหนึ่งหลักสำคัญที่ทาง ตม.จะพิจารณา ควรแต่งกายให้ดูสุภาพ เรียบง่ายและเข้ากับสภาพอากาศ ผู้หญิงไม่ควรแต่งหน้าจัด ไม่ควรแต่งชุดที่ดูโป๊จนเกินไป ส่วนผู้ชายสามารถใส่เสื้อยืด เสื้อเชิ้ตได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นใส่สูท กางเกงควรเป็นกางเกงขายาวได้จะดี การใส่รองเท้าผ้าใบและพกกล้องเป็นสองไอเท็มหลักที่จะทำให้เราดูเป็นนักท่องเที่ยวที่แท้จริง ถ้าใครมีกล้องก็สะพายคล้องคอไว้ด้วยได้เลย การแต่งตัวให้ดูเป็นนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นด่านแรกที่จะช่วยให้เราผ่านเข้าไปได้อย่างฉลุยเลยทีเดียว 2.
ความมั่นใจเป็นอีกตัวช่วยสำคัญในการวางตัวเพื่อให้ผ่าน ตม.เกาหลี หากเรามีความมั่นใจอยู่ภายในแล้ว การแสดงออกภายนอกของเรา ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า การเดิน การยืน การตอบคำถามก็จะดูสบายๆ รีแลกซ์ สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้ให้แม่นเลยก็คือ ไม่ควรกังวล เพราะความกังวลเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่มั่นใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ผ่าน เพราะเราตั้งใจจะไปเที่ยวจริงๆ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าผ่านแน่ๆ แค่มั่นใจก็มีชัยไปกว่าครึ่ง 3.
หากใครพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ให้ใช้วิธีเหมือนติวเตอร์เก็งข้อสอบ หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก่อนออกเดินทาง คำถามอะไรที่ทาง ตม.อาจจะทำได้บ้าง แล้วเตรียมคำตอบเอาไว้ เพราะที่จริงแล้วคำถามส่วนใหญ่ที่ ตม.จะถามก็เป็นคำถามทั่วไป ไม่ได้ตอบยากมาก ถ้าฟังไม่ทันหรือไม่เข้าใจคำถาม ควรถาม ตม.ให้พูดอีกที (คือ Again please) คำตอบที่ควรหลีกเลี่ยงคือ “I don’t know” ไม่ควรตอบเป็นอันขาด ถึงฟังไม่เข้าใจจริงๆ ก็ควรจะพูดว่า I’m a tourist หรือ I’m here for sightseeing เพื่อเป็นการยืนยันว่าเรามาเที่ยวจริงๆ แต่หากใครพอฟังออกบ้างแล้วเตรียมคำตอบมา เทคนิคของเราก็คือ อย่าตอบเร็วหรือช้าเกินไป อย่าตอบเร็วเกินไป เพราะจะดูเหมือนเราท่องมา ท่องได้แต่ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด อย่าคิดนานหรือตอบช้าเกินไป เพราะจะทำให้เราดูไม่มั่นใจและอาจเสียคะแนนได้ สำหรับคำถามหลักๆ ที่ ตม.จะชอบถามก็คือ ● จุดประสงค์ของการมาเกาหลีคืออะไร ● จะพักอยู่ในเกาหลีกี่วัน ● มาประเทศเกาหลีกับใคร ● มีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ซึ่งในจุดนี้ อาจจะขอดูแผนการท่องเที่ยว เอกสารการจองที่พักและตั๋วเครื่องบินขากลับของเราด้วย ● ทำงานอะไร ● แลกเงินวอนมาเท่าไหร่ 4.
ประเทศไทยเป็น Land of Smile เรายิ้มเก่งกันอยู่แล้ว ดังนั้น ยิ้มเข้าไว้ ยิ้มแย้มแจ่มใสในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องยิ้มตลอดเวลา แต่ให้ยิ้มเพื่อความเป็นมิตรและแสดงออกว่าเราผ่อนคลาย เวลาอยู่หน้า ตม. การสบตาเวลาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องสำคัญมากเลยทีเดียว ไม่ควรหลบตาเพราะจะดูมีพิรุธเหมือนเราทำอะไรผิด เทคนิคง่ายๆ ตรงนี้ก็คือ ยิ้มแย้มแจ่มใสและสบตาเจ้าหน้าที่นั่นเอง 5. ทำตัวสุขุม ควบคุมอารมณ์
การทำตัวสุขุม ใจเย็น ทำทุกสถานการณ์ให้เป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ เป็นอีกหนึ่งคะแนนสำคัญที่จะช่วยให้เราได้ยินเสียง “Welcome to Korea” จาก ตม.ได้ง่ายขึ้น ควบคุมอารมณ์และความตื่นเต้นให้อยู่หมัด ไม่ลนลาน ไม่วอกแวก ความน่าเชื่อถือจะเกิดขึ้นจากตรงนี้นี่เอง ถ้าเราดูน่าไว้ใจ ยังไง ตม.ก็ให้ผ่านเข้าประเทศแบบฉลุยแน่นอน ผ่าน ตม.เกาหลีไม่ยากอย่างที่คิด หากเราเตรียมตัวให้พร้อมทั้งด้านเอกสารและการวางตัว นำเทคนิคที่เราบอกในวันนี้ไปใช้กัน รับรองว่ายังไงก็ต้องผ่านแน่ๆ สบายใจเรื่องตม. กันแล้วก็เตรียมทริปและจองตั๋วเครื่องบินเกาหลีใต้กับ Traveloka >> https://www.traveloka.com/th-th/flight/to/Seoul.ICN/1 ได้เลย สบายใจได้ตั๋วราคาดีๆ ไปเที่ยวเกาหลีแบบไร้กังวล
ญี่ปุ่นมกราคม กี่องศา
เดือนมกราคม – อากาศในเดือนมกราคมค่อนข้างเย็น โดยอุณหภูมิจะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 10 องศาเซลเซียสและมีหิมะตกในหลายพื้นที่ของประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีไม่มากบวกกับสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามน่าประทับใจทำให้ควรค่าแก่การฝ่าลมหนาวไปเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ เช่น โตเกียวและเกียวโต แต่ขอให้จำไว้สักนิดว่าร้านรวงและสถานที่หลายแห่งปิดทำการในช่วงปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคมถึง 4 มกราคม กิจกรรม: เที่ยวชมเทศกาลฤดูหนาวต่างๆ การแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน เล่นกีฬาฤดูหนาว อย่างเช่น สกี หรือสโนว์บอร์ด เทศกาลน่าเที่ยว: เทศกาลศิลปะจากหิมะ ที่มีประติมากรรมน้ำแข็งรูปสัตว์ในตำนานอันสวยงามซึ่งประดับประดาด้วยไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน
ไปญี่ปุ่นเดือนมีนาแต่งตัวแบบไหน
What to wear in Japan ไอเดียการแต่งตัวสำหรับเที่ยวญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องแฟชั่น! แน่นอนว่า ด้วยสภาพสังคมเช่นนี้ เทรนด์การแต่งตัวคงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เปิดตู้เสื้อผ้าของคุณดู ชุดส่วนใหญ่ก็ยังคงสวยทันสมัยและไม่เอ้าท์แต่อย่างใด จะมีก็แต่ “หน้ากากอนามัย” นี่แหละ ที่ถือเป็นไอเท่มใหม่สำคัญในยุคปัจจุบัน สำคัญในระดับที่แทบจะเป็นอีกอวัยวะของร่างกายไปแล้ว และสายคล้องแมสก์ก็กลายเป็นแฟชั่นสุดฮิตขึ้นมาทันทีอย่างช่วยไม่ได้
วันนี้เราเลยมีไอเดียการแต่งตัวสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นมานำเสนอเพื่อเป็นแนวทางสำหรับทริปหน้าของเพื่อนๆทุกคน (เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลายมากขึ้นกว่านี้)! ไอเดียการแต่งตัวเที่ยวญี่ปุ่น 1. ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม/ เมษายน/ พฤษภาคม) เป็นฤดูแห่งการผลัดใบ อากาศยังหนาวเย็นแต่จะค่อยๆเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส ไอเดียสำหรับการแต่งตัว จึงควรเป็นเสื้อผ้าที่เบาสบายแต่ยังคงให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ เช่น เสื้อสเว็ตเตอร์ + กางเกงขายาว ใส่คู่กับรองเท้าผ้าใบ
1.1. เดือนมีนาคม: เดือนแรกของฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังคงหนาว อุณหภูมิปกติจะอยู่ประมาณ 13 องศา แต่จะหนาวมากในช่วงเช้ามืด อุณหภูมิอาจลดถึง 10 องศา การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: ใส่เสื้อตัวในที่ให้ความอบอุ่น เช่น เสื้อแขนยาว หรือ สเวตเตอร์ ฯลฯ กางเกงยีนส์เนื้อหนา หรือจะเป็นเลกกิ้งแล้วใส่กระโปรงด้านนอก จากนั้นใส่ทับด้วยเสื้อโค้ทกันหนาวหรือแจ็คเก็ตแฟชั่นตัวยาว คู่กับรองเท้าบูธหรือรองเท้าผ้าใบสวยๆ เสริมด้วยแอคเซสซอรี่สวยๆ เช่น หมวกไหมพรม ที่ครอบหู ผ้าพันคอ เป็นต้น การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: ใส่เสื้อตัวในที่ให้ความอบอุ่น เช่น เสื้อแขนยาว หรือ สเวตเตอร์ ฯลฯ กางเกงยีนส์หรือสแล็คเนื้อหนา หรืออาจเปลี่ยนเป็นกางเกงวอร์มกันหนาวก็ได้ จากนั้นใส่ทับด้วยเสื้อโค้ทกันหนาวหรือแจ็คเก็ตแฟชั่นตัวยาว คู่กับรองเท้าบูธหรือรองเท้าผ้าใบเท่ๆ ส่วนแอคเซสซอรี่ ก็ได้แก่ หมวกไหมพรม ผ้าพันคอ เป็นต้น 1.2.
เดือนเมษายน: เดือนที่ดอกซากุระบาน อากาศจะเริ่มอบอุ่นแต่ยังคงเย็นสบาย แต่อาจร้อนหรือเย็นกว่าปกติขึ้นอยู่กับสภาพอากาศแต่ละวัน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ประมาณ 15 องศา เริ่มมีฝนตกและบางวันอาจตกหนัก การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อยืดแขนยาวสวมทับด้วยแจ็คเก็ตผ้าร่ม หรือใส่สเวตเตอร์เดี่ยวๆเลยก็ได้ กางเกงยีนส์หรือกางเกงขายาวธรรมดา รองเท้าผ้าใบหรือหุ้มส้นที่ใส่สบาย อย่าลืมพกร่มพับได้หรือเสื้อกันฝนสวยๆสักตัว การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: เสื้อยืดแขนยาวผ้าไม่หนามาก สวมทับด้วยแจ็คเก็ตผ้าร่ม รองเท้าผ้าใบหรือหุ้มส้นที่ใส่สบาย 1.3.
เดือนพฤษภาคม: เดือนที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดของฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิเริ่มตั้งแต่ 15 องศา และอาจสูงถึง 20 องศาในบางพื้นที่ มีฝนตกน้อยกว่าเดือนเมษายน การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อยืดแขนยาว เสื้อฮู้ดหรือสเวตเตอร์ตัวไม่หนามาก กางเกงขายาว หรือกระโปรงที่มิดชิด การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: เสื้อยืดเนื้อผ้าไม่หนาไม่บาง ทับด้วยแจ็คเก็ตตัวบาง รองเท้าผ้าใบหรือหุ้มส้นใส่สบาย ดูตัวอย่างเพิ่มเติม: https://shopee.co.th/lucky72.th https://shopee.co.th/g0_wmr9vfs 2. 2.1. เดือนมิถุนายน: ถือว่าอยู่ในย่านฤดูฝนที่อากาศยังไม่ถึงกับร้อนมาก แต่มีความชื้นในอากาศสูง ทำให้มีฝนตกเกือบทุกวัน การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อผ้าเนื้อบาง อาจจะเป็นเสื้อยืดแขนสั้น หรือเสื้อเชิ้ตผ้าบาง กางเกงขายาวเนื้อผ้าใส่สบาย หรืออาจจะเป็นกางเกงยีนส์ขาสั้น กระโปรงสั้น หรือเดรสยาวชิ้นเดียว รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะแบบแซนดัล อย่าลืมเสื้อกันฝนและร่มแฟชั่น การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: เสื้อยืดแขนสั้น หรือเสื้อผ้าเนื้อบาง กางเกงยีนส์หรือกางเกงผ้าร่มใส่สบาย รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะแบบแซนดัล อย่าลืมเสื้อกันฝนและร่มแฟชั่น จะพกแว่นกันแดดด้วยก็ได้นะ 2.2.
เดือนกรกฏาคม: เรียกว่า เป็นฤดูร้อนที่ยังมีฝน อุณหภูมิสูงขึ้นกว่าเดือนมิถุนายน แต่จะลดลงเมื่อฝนตก มีแดดร้อน การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อผ้าเนื้อบาง กางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นแบบพลิ้วตามลม แจ็คเก็ตตัวบางสำหรับกันแดด รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะแบบแซนดัล หมวกแฟชั่นและแว่นกันแดด และยังต้องพกร่มและเสื้อกันฝนติดตัวไว้เสมอ การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: เสื้อผ้าเนื้อบาง กางเกงยีนส์หรือกางเกงผ้าขาสั้น แจ็คเก็ตตัวบางสำหรับกันแดด รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะแบบแซนดัล หมวกแคปและแว่นกันแดด และยังต้องพกร่มและเสื้อกันฝนติดตัวไว้เสมอ 2.3.
เดือนสิงหาคม: เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดในรอบปี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีอาคารสูงที่ดูดซับไอร้อนจากแดดและบังทางลม ทำให้อากาศไม่ถ่ายเทและไม่มีฝนตก ทำให้อากาศร้อนตลอดวัน อุณหภูมิมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี มีรายงานพบผู้มีอาการ Heatstroke เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อผ้าเนื้อบาง เสื้อแขนกุดหรือเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นหรือกระโปรงบางพลิ้ว แจ็คเก็ตตัวบางสำหรับกันแดด รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะแบบแซนดัล หมวกแฟชั่นและแว่นกันแดด อย่าลืมพกร่มกันแดดและทิชชู่เปียกไว้ซับเหงื่อระหว่างวัน การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: เสื้อผ้าเนื้อบาง เสื้อแขนกุดหรือเสื้อกล้าม กางเกงยีนส์ขาสั้น หรือกางเกงผ้าเนื้อบางขาสั้น แจ็คเก็ตตัวบางสำหรับกันแดด รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะแบบแซนดัล หมวกแคปและแว่นกันแดด พกทิชชู่เปียกไว้คอยซับเหงื่อระหว่างวัน 3. ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน/ ตุลาคม/ พฤศจิกายน) เป็นฤดูกาลที่สวยงามที่สุดในรอบปีเลยก็ว่าได้ เพราะทั่วทั้งญี่ปุ่นจะถูกปกคลุมไปด้วยสีสันอันงดงามจากใบไม้เปลี่ยนสี อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศและอุณหภูมิจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทั้งวันเนื่องมาจากอิทธิพลของลมมรสุม ไอเดียในการแต่งตัว น่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่สบายและให้ความอบอุ่นเนื่องจากอากาศค่อนข้างเย็น แล้วสวมทับเป็นชั้นๆเพื่อง่ายต่อการปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศ หรือจะใส่ยูกาตะเดินชมเมือง ก็เป็นอีกหนึ่งแฟชั่นที่นิยมอย่างมากในญี่ปุ่น 3.1.
เดือนกันยายน: แม้จะเพิ่งผ่านพ้นซัมเมอร์ไป แต่กลิ่นไอความร้อนก็ลดลงไปมาก เป็นเดือนเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วงที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม ทำให้มีฝนตกหนักบ้างเป็นบางวัน นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงเดือนนี้ ควรเช็คสภาพอากาศในแต่ละวันให้แน่นอนก่อนออกไปข้างนอก การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อแขนสั้น หรือเสื้อแขนยาวตัวบาง กระโปรงยาว หรือเดรสยาวตัวเดียว สวมทับด้วยเสื้อคาร์ดิแกนสีสันสดใส รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าส้นแบนใส่สบาย อย่าลืมพกร่มติดตัวไปด้วย การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: เสื้อเชิ้ต หรือ เสื้อยืดทั่วไป เน้นแขนสั้นหรือแขนยาวกลางๆ กางเกงยีนส์ สวมทับด้วยแจ็คเก็ตหรือเสื้อคาร์ดิแกนตัวบางสำหรับผู้ชาย รองเท้าผ้าใบเท่ๆ พกผ้าเช็ดหน้าแบบแนวๆไปด้วยก็ดูเก๋ไปอีกแบบ 3.2.
ตามหา Sneaker ที่โตเกียวหลังญี่ปุ่นเปิดประเทศ!
เดือนตุลาคม: เรียกได้ว่าเป็นเดือนที่บรรยากาศดีที่สุดในรอบปีเลยก็ว่าได้ เพราะไม่มีมวลอากาศร้อนมากวนใจอีกต่อไป ด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 18 องศา อีกทั้งลมประจำฤดูได้พัดพาความกดอากาศจากลมมรสุมออกไป ทำให้แทบจะไม่มีฝนตก เหมาะอย่างมากกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะการเที่ยวชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสี การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อเชิ้ตหรือเสื้อทั่วไป กางเกงยีนส์เดนิ่มใส่สบาย หรือจะใส่เดรสยาวตัวเดียวแล้วทับด้วยเสื้อคลุมกันลม หรือคาร์ดิแกนสีสดใส ใส่คู่กับรองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าส้นแบนใส่สบาย เติมความน่ารักด้วยผ้าพันคอหรือถุงมือสักคู่ก็ดูดีแล้ว การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: เสื้อเชิ้ตหรือเสื้อยืดทั่วไป กางเกงยีนส์ผ้าหนาแต่ใส่สบาย เสื้อคลุมกันลมหรือแจ็คเก็ตเท่ๆที่ผ้าไม่หนามาก เติมความเท่ด้วยรองเท้าผ้าใบ กับผ้าเช็ดหน้าสไตล์วินเทจ ที่เข้ากันได้ดี 3.3. ดูตัวอย่างเพิ่มเติม: https://shopee.co.th/anneecloset https://shopee.co.th/style.co 4. ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม/ มกราคม/ กุมภาพันธ์) สภาพอากาศโดยทั่วไปจะหนาวเย็นและแห้งในระดับที่แทบจะไม่มีความชื้นในอากาศ อุณหภูมิจะอยู่ตั้งแต่ 15 องศา ลดลงไปเรื่อยๆจนถึงติดลบ ช่วงเวลากลางวันจะสั้นกว่ากลางคืน โดยบางแห่ง พระอาทิตย์จะตกดินตั้งแต่ประมาณ 4-5 โมงเย็น ไอเดียในการแต่งตัวจึงต้องเน้นเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เสื้อโค้ทกันหนาวเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใส่สบายทับกันเป็นชั้นๆยังคงจำเป็นอยู่ เพราะอากาศภายนอกและภายในอาคารค่อนข้างแตกต่างกันตามแต่ละสถานที่ ควรพกลิปบาล์มไว้เพื่อให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปากอันแห้งผาก 4.1.
เดือนธันวาคม: บรรยากาศแทบไม่หลงเหลือกลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาวเย็น มีหิมะตกในหลายพื้นที่ และจะตกหนักตั้งแต่กลางเดือนเป็นต้นไป พระอาทิตย์ตกดินตั้งแต่ 4 โมงเย็น ซึ่งเป็นเดือนที่พระอาทิตย์ตกเร็วที่สุดในรอบปี อุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนแตกต่างกันมาก การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อยืดหนานุ่มที่ให้ความอบอุ่น กับสเว็ตเตอร์ตัวหนา กางเกงขายาว สวมทับด้วยเสื้อโค้ทกันหนาวหรือแจ็คเก็ตกันหนาวตัวยาว สวมคู่กับรองเท้าบู้ทหรือรองเท้าผ้าใบ ประดับด้วยผ้าพันคอ หมวกและถุงมือไหมพรม การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: คล้ายกับการแต่งกายของผู้หญิง คือใส่เสื้อด้านในที่ให้ความอบอุ่น กางเกงขายาว สวมทับด้วยเสื้อโค้ทกันหนาวหรือแจ็คเก็ตกันหนาวตัวยาว รองเท้าบู้ทหรือรองเท้าผ้าใบ ประดับด้วยผ้าพันคอ หมวกและถุงมือไหมพรม 4.2.
เดือนมกราคม: เป็นเดือนที่หนาวเย็นที่สุดในรอบปีของญี่ปุ่น โดยเฉพาะช่วงวันที่ 20-21 ที่จะเป็นวันเริ่มของ “ไดกัน” หรือฤดูที่หนาวเย็นที่สุด ไอเดียในการแต่งตัวจึงต้องเน้นความอบอุ่นแก่ร่างกายถึงขั้นสุด การแต่งกายสำหรับผู้หญิง: เสื้อไหมพรมหรือเสื้อด้านในบุขนหรือเส้นใยที่ให้ความอบอุ่น กางเกงขายาว แจ็ตเก็ตกันหนาวตัวยาวผ้าบาง สวมทับด้วยเสื้อโค้ทกันหนาวผ้าวูล สวมคู่กับรองเท้าบู้ทหรือรองเท้าผ้าใบ ถุงเท้าหนานุ่ม เสริมด้วยผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ ที่ครอบหู รวมไปถึงเตรียมรองเท้าสำหรับลุยหิมะไปด้วย การแต่งกายสำหรับผู้ชาย: สเว็ตเตอร์ตัวหนาหรือเสื้อไหมพรมหนานุ่ม กางเกงขายาว แจ็คเก็ตกันหนาวตัวยาว และสวมทับด้วยเสื้อโค้ทกันหนาว ใส่คู่กับรองเท้าบู้ทหรือรองเท้าผ้าใบ ถุงเท้าหนานุ่ม ผ้าพันคอ หมวก ถุงมือ ที่ครอบหู และรองเท้าสำหรับลุยหิมะ 4.3. ดูตัวอย่างเพิ่มเติม: https://shopee.co.th/ready4girl มารยาทและข้อแนะนำในการแต่งกายที่ญี่ปุ่นสำหรับนักท่องเที่ยว
ไม่มีข้อกำหนดเรื่องการแต่งตัว เราสามารถใส่กางเกงขาสั้น หรือเสื้อแขนกุด ได้ในสถานที่ปกติ แต่หากต้องเข้าไปในวัดหรือศาลเจ้า อาจต้องแต่งกายให้สุภาพมากขึ้นสามารถใส่ยูกาตะเดินตามสถานที่ทั่วไปได้ไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดรึงเน้นสัดส่วนจนเกินไป เมื่อต้องอยู่ในที่รโหฐาน (เว้นแต่คุณอยู่ในศูนย์รวมแฟชั่นโดยตรง)พยายามใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเรียบร้อย ถุงเท้าขาดหรือเป็นรู ดูจะไม่เหมาะสมอย่างมาก เพราะคุณต้องถอดรองเท้าสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ไหว้พระ หรือ เข้าร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม เป็นต้นสามารถใส่กางเกงยีนส์ได้ แต่ยีนส์ไม่ได้เป็นที่นิยมนักสำหรับผู้คนตามหมู่บ้านชานเมือง ดังนั้นถ้าเปลี่ยนจากสียีนส์เดนิ่ม เป็นยีนส์ดำ น่าจะปรับตัวเข้ากับสถานที่ได้ง่ายขึ้นในวันที่อากาศหนาวมากๆ ให้พยายามใส่เสื้อเป็นชั้นๆเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย ดีกว่าใส่เสื้อตัวหนาๆแค่ตัวเดียว เพราะภายในและภายนอกอาคารนั้นแตกต่างกันมาก คงจะดีกว่าถ้าใส่เสื้อตัวบางลงเมื่ออยู่ในห้องที่อบอุ่นพยายามแต่งกายมิดชิดแต่สะดวกคล่องตัว เผื่อต้องเข้าห้องน้ำสาธารณะ สวมรองเท้าที่ถอดและใส่กลับไม่ยาก เช่น รองเท้าผ้าใบส้นไม่สูงมาก เพราะคุณต้องถอดรองเท้าสำหรับทำกิจกรรมหลายอย่างในแต่ละวัน
แต่งตัวแนวญี่ปุ่น เรียกว่าอะไร
ญี่ปุ่นฮาราจุกุ (Japan) เป็นแนวการแต่งตัวแฟชั่นญี่ปุ่นที่แอ๊บแบ๊วมากที่สุดหรือแนวๆ คอสเพลย์แบบญี่ปุ่นๆ